1. การเลือกสินค้ามาขาย ซึ่งหลักการของการเลือกสินค้ามีอยู่หลายวิธีค่ะ แต่มีหลัก ๆ ให้เลือกสินค้าที่เราสนใจ มีความชื่นชอบหรือเชี่ยวชาญ เพราะจะทำให้เรานำเสนอขายสินค้าให้กับลูกค้าได้ดีกว่าสินค้าที่เราไม่คุ้นเคย กล้าพูด กล้าแนะนำบอกต่อกับลูกค้า และสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยอัตโนมัติ โดยแบ่งการเลือกหาสินค้าออกเป็น 2 แหล่งที่มา ดังนี้
- เลือกหาสินค้าจากแหล่งใกล้ตัว หมายความว่า เป็นสินค้าที่อยู่รอบๆตัวเรา ใกล้บ้านในท้องถิ่นพื้นที่ใกล้เคียง หรือเป็นเจ้าของสินค้าสินค้าเอง ผลิตเอง สร้างเป็นแบรนด์ตัวเอง
- เลือกสินค้าจากแหล่งไกลตัว คือ สินค้าที่มาจากต่างประเทศเป็นสินค้านำเข้า สินค้าพรีออเดอร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสินค้าพวกนี้จะนำเข้ามาจากประเทศจีน ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการรอรับสินค้า โดยผ่านชิ้ปปิ้งต่าง ๆ ไม่ก็เว็บขายส่งของจีนอย่าง Taobao และ 1688.com
2. การนำเข้าสินค้า ซึ่งเทคนิคนี้จะช่วยให้คุณเซฟค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหาสินค้าตามแหล่งต่าง ๆ ได้ ลดความยุ่งยากในการทำงาน โดยประเภทของการนำเข้าสินค้า โดยจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
- Preorder เป็นรูปแบบบริการฝากสั่ง ฝากจ่าย และขนส่งนำเข้าสินค้ามาให้ โดยที่คุณเองไม่ต้องมีประสบการณ์ในเรื่องการนำเข้าสินค้าเลย เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดนำเข้าสินค้า ข้อดีคือ ลดความยุ่งยาก ตัดปัญหาการพูดคุยติดต่อกับร้านค้าจีน และสามารถขายได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุน
- Shipping การนำเข้าเพียงอย่างเดียว ไม่รวมการฝากสั่งซื้อหรือชำระเงิน เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าที่มีประสบการณ์นำเข้า เพราะคุณจะต้องมีการติดต่อสั่งซื้อ ชำระเงินและประสานงานกับทางร้านค้าจีนโดยตรง
ซึ่งการนำเข้าสินค้าจะต้องหาพาทเนอร์ที่ดีหรือเว็บไซต์นำเข้าที่มีคุณภาพ ote.co สามารถตอบโจทย์การใช้บริการทั้งสองรูปแบบได้เป็นอย่างดี มีแอดมินคอยให้คำแนะนำในทุก ๆ ขั้นตอนค่ะ
3. ช่องทางการขาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ คือ ช่องทางการขาย กับ ช่องทางการโฆษณา
ช่องทางการขาย คือ ช่องทางที่ใช้ในการนำเสนอสินค้าและบริการให้กับลูกค้า โดยที่ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา เป็นช่องทางที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลสื่อสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการกับลูกค้า สามารถติดต่อสอบถาม พูดคุยหรือสั่งซื้อสินค้าได้ เช่น Website, Facebook Page, Line, YouTube, IG และ Tiktok หรือการขายผ่าน Marketplace อย่าง Shopee และ Lazada ซึ่งมิสโอเตะขอให้คำนิยามของแต่ละช่องทางเพื่อให้เพื่อน ๆ มือใหม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้
- ช่องทางเว็บไซต์ เหมือนการปลูกบ้านของตัวเอง ไม่เช่าพื้นที่ใคร จัดการสิ่งต่างด้วยตัวเอง เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์ที่โตพอสมควรแล้วค่ะ
- ช่องทาง Marketplace เปรียบเสมือนการเอาสินค้าเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้าที่รวมสินค้าจากหลากหลายร้านค้า แต่มีกฎเกณฑ์กำหนดอยู่ ซึ่งคนมักจะชอบซื้อสินค้าตามห้างอยู่แล้ว ดังนั้น การขายสินค้าผ่าน Marketplace ค่อนข้างขายง่าย เพิ่มรายได้รวดเร็ว
- ช่องทาง Social เปรียบเหมือนการขายสินค้าในตลาดนัด เน้นการสื่อสาร 2 ทาง บอกต่อกันปากต่อปากโดยผ่านการคอมเมนท์ การแชร์
ช่องทางการโฆษณา คือ ช่องทางที่ต้องจ่ายเงินเพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการไปยังผู้ที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าในอนาคต โดยช่องทางการโฆษณาออนไลน์นั้นมักจะเชื่อมกับช่องทางการขายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น Facebook Ads, YouTube Ads, การลงโฆษณาบน Marketplace หรือการลงโฆษณาผ่าน Google ด้วย Google Text Ads และ Google Shopping Ads ซึ่งช่องทางที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ค่อนข้างมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและใช้งานยากสำหรับมือใหม่
ดังนั้น ช่องทางที่เหมาะสำหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ควรจะเป็นช่องทางการขายมากกว่าช่องทางการโฆษณา
4. ระบบการดูแลจัดการสินค้าที่ดีและมีคุณภาพ โดยการใช้บริการ Fulfillment เก็บ-แพ็ค-ส่ง ที่ตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคใหม่ ไม่ต้องเก็บสินค้าหรือดูแลจัดการคลังสินค้าด้วยตัวเอง ไม่ต้องวุ่นวายกับการแพ็คสินค้าและจัดส่ง คุณจะบริหารงานได้อย่างมีระบบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยที่จะลดปัญหาการทำงานต่าง ๆ อย่างดี ซึ่งการใช้บริการนี้ไม่ใช่เพียงแต่แก้ปัญหาในการขายออนไลน์ แต่ยังเพิ่มประโยชน์ให้อีกด้วย
- ประหยัดเงินและประหยัดเวลา
- เพิ่มความสะดวกในการขนส่งให้กับลูกค้า ลดข้อจำกัดด้านการขนส่ง
- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการทำงานหลังร้านแบบมืออาชีพ สามารถเก็บข้อมูลยอดขาย ข้อมูลลูกค้า ได้อย่างง่ายซึ่งเหมาะมากสำหรับมือใหม่
- ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการของร้านเราอีก ด้วยระบบการจัดการที่ดีเวอร์ค่ะ
อย่างไรก็ตาม การขายของออนไลน์ให้มีรายได้มากกว่างานประจำจะต้องทำให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวด้วย ซึ่งทั้ง 4 เทคนิคที่มิสโอเตะนำมาบอกกันในวันนี้จะเป็นแนวทางตัวช่วยที่ดีให้กับเพื่อน ๆ ได้ รีบลงมือทำและบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ให้ปังตอนนี้เลย…